Designing your work life ปรับมุมคิด ชีวิต(การทำงาน)ดีขึ้น
หากคุณเคยเจอปัญหาเหล่านี้ในที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็น งานที่ทำน่าเบื่อมาก ดูไม่มีความก้าวหน้าอะไรเลย หรืองานโปรเจ็กต์ที่ดูเหมือนเป็นงานเดี่ยว ต้องเป็นเดอะแบกประจำทีม รวมถึงปัญหาอื่นๆ อีกมากมายจนทำให้ไม่มีความสุขในที่ทำงาน
แน่นอนว่าเราทุกคนย่อมอยากทำงานที่มีความสุข งานที่มีความหมาย โดยไม่ต้องดิ้นรนเปลี่ยนงานใหม่ โดยเฉพาะในสถานการณ์ Covid-19 นั่นหมายความว่าเราต้องจัดการปัญหาที่ค้างคาใจในที่ทำงาน
แล้วเราจะจัดการปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง ?
วันนี้ Modulasr ขอแชร์วิธีการแก้ปัญหาปัญหาต่างๆ ที่คุณต้องเจอในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การทำงาน (Work) ความรัก (Love) การพักผ่อน (Play) สุขภาพ (Health) จากหนังสือ Designing Your Work Life
1.ขั้นตอนแรก : เข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง ตัดส่วนอารมณ์ดราม่าที่ทำให้เราอคติทิ้งไป
คุณอาจเคยรับฟังปัญหาเหล่านี้จากเพื่อนของคุณ ซึ่งเขามาเล่า (บ่น) เรื่องงานให้คุณฟังบ่อยๆว่า เขารู้สึกเหนื่อยกับการต้องทำงานกับทีมปัจจุบันที่งี่เง่า ไม่ฟังความเห็นของคนอื่น ทำให้งานโปรเจ็กต์นี้ไม่มีทางเดินต่อไปได้
แต่เมื่อลองมาวิเคราะห์ปัญหา พบว่าปัญหาส่วนใหญ่ที่เราเจอ จะเป็น 2 ประเภทนี้คือ
1).ปัญหาที่เราทำอะไรกับมันไม่ได้จริงๆ หรือที่เราเรียกว่า “ปัญหาแรงโน้มถ่วง”
2).ปัญหาที่วางกรอบมาผิดๆ และเราสามารถวางกรอบหรือปรับมุมมองเพื่อแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น
.
.
ดังนั้นก่อนที่เราจะแก้ปัญหา ตัองเข้าใจปัญหาจริงๆ เสียก่อน โดยมีเทคนิคง่ายๆ ดังนี้
ระบุปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น “เหนื่อยกับการต้องทำงานกับทีมปัจจุบันที่งี่เง่า ไม่ฟังความเห็นของคนอื่น ทำให้งานโปรเจ็กต์นี้ไม่มีทางเดินต่อไปได้” เกิดอะไรขึ้นจริงๆ และตัดส่วนที่ไม่จำเป็นในคำตอบแรกทิ้งไป แล้วซูมเข้าไปในแต่ส่วนของปัญหา
องค์ประกอบสุดดราม่า #1 : งี่เง่า
งี่เง่า เป็นคำที่เพื่อนร่วมงานคนนั้นแปะป้ายให้ทีมของคุณ ซึ่งจริงๆ แล้วทีมของคุณอาจจะไม่ได้งี่เง่าทุกคน ซึ่งนั่นไม่แฟร์สำหรับทุกคนในทีมเท่าไหร่นัก
องค์ประกอบสุดดราม่า #2 : ไม่มีทางเดินต่อไปได้
ปัญหาในข้อที่เพื่อนร่วมงานคนนั้นวางกรอบมาได้ไม่ดีนัก เพราะมันไม่ยืดหยุ่น (สังเกตคำว่าไม่มีวัน)
โปรเจ็กต์ไม่มีทางเดินต่อไปได้ นั่นหมายความว่าโปรเจ็กต์นั้นหยุดชะงัก และไม่มีทางที่โปรเจ็กต์จะกลับมารันต่อได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วอาจมีโอกาสที่โปรเจ็กต์นี้จะกลับมาดำเนินต่อไปได้ หากเราแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
2.ขั้นตอนสอง : ปรับเปลี่ยนมุมมองของปัญหาเสียใหม่
แนวคิดคือการปรับมุมมองให้ปัญหาเหล่านั้นกลายเป็นปัญหาที่คุณสามารถจัดการได้ Minimum Actionable Program (MAP)
ที่ D.school มักเริ่มต้นการปรับมุมมองคำถามด้วย “ทำอย่างไร เราจึงจะ” ไม่ต้องยึดติดกับความถูกต้อง สมบูรณ์แบบ แค่ย่อยและปรับมุมมองให้เป็นสิ่งที่เราจัดการได้
MAP 1 : เพื่อนร่วมงานที่เคยบอกว่างี่เง่า ไม่ฟังความเห็นของคนอื่น อาจเป็นเพราะพวกเขายังไม่เห็นเป้าหมายของการทำโปรเจ็กต์ร่วมกัน เห็นเนื้องานแค่สิ่งที่ตัวเองทำอยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้น จะทำอย่างไรให้ทุกคนเห็นเป้าหมายร่วมกัน และตั้งใจทำส่วนของตัวเองออกมาให้ดีที่สุดให้ได้
MAP 2 : งานไม่เดินไปไหน อาจเพราะขาดข้อมูลจำเป็นสำหรับโปรเจ็กต์ ถ้าเป็นอย่างนั้น ต้องรวบรวมข้อมูลสำคัญสำหรับโปรเจ็กต์มาให้ได้
MAP 3 : หากเพื่อนร่วมงานบางคนงี่เง่า เกินเยียวยาจริงๆ ไม่สามารถนำเสนอไอเดียเพื่อให้งานสำเร็จได้เราจะทำอย่างไรให้ได้ไอเดียดีๆ จากคนเก่งๆ เพื่อให้โปรเจ็กต์ลุล่วงด้วยดี
3.ขั้นตอนสาม : ระดมหาวิธีแก้ปัญหาใหม่ๆ และเลือกอันที่เป็นไปได้ สามารถทำได้เลย
MAP 1 : อาจนัดปรึกษากับหัวหน้า เพื่อให้มาเล่าเหตุผลที่มาที่ไปของโปรเจ็กต์ รวมถึงมีการเซ็ท KPIs และ Roadmap ที่ชัดเจนขึ้น
MAP 2 : นัดประชุมทีม เพื่อให้ทุกคนบอกข้อมูลที่ตัวเองต้องการ และไม่แน่ว่าบางคนในทีมอาจจะมีข้อมูลนั้นๆ อยู่แล้วก็ได้ แต่ไม่เคยแชร์ให้เป็นข้อมูลกลางที่ทุกคนเข้าถึงได้ ควร set up ประชุมประจำสัปดาห์เพื่ออัปเดทความคืบหน้า ให้ทุกคนเล่าสิ่งที่ติดปัญหา เพื่อแก้ปัญหา และ Track timelime ของโปรเจ็กต์เพิ่มเติม
MAP 3: อาจจะลองหาคำปรึกษาจากคนนอกดู เช่น ลองขอนัดปรึกษารุ่นพี่ที่ทำงานที่เคยประสบความสำเร็จกับงานประเภทนี้ เพื่อขอไอเดียสำหรับโปรเจ็กต์นี้เพิ่มเติมได้ อาจจะพบว่ารุ่นพี่ก็เคยเจอปัญหาประเภทนี้เหมือนกัน และลองศึกษาดูว่าเค้ามีวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างไร
สรุปได้ว่า จริงๆ แล้ว แค่ลองปรับมุมมองปัญหาอีกนิด ชีวิตก็อาจจะได้เจอทางออกใหม่ๆ โดยไม่ยึดติดกับปัญหาเดิมๆ โดย MAP ที่เราได้มาอาจจะไม่ใช้คำตอบที่ถูกต้องที่สุด ขอเป็นเพียงตัวเลือกที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้นๆ ก็พอ