คุณเคยหางานผ่านเพื่อนของคุณไหม?
เริ่มจากการนั่งเขียนลิสต์รายชื่อของเพื่อนที่คุณสนิทด้วย แล้วลองติดต่อไปว่าพวกเค้ามีงานอะไรที่คิดว่าน่าจะเหมาะกับคุณรึเปล่า?
นั่นอาจเป็นวิธีที่ไม่ถูกนัก
เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน สมัยก่อนที่จะมี Facebook, LinkedIn หรือสื่อทาง Social อื่นๆ นักสังคมวิทยาที่ชื่อ Mark Granovetter ได้ทำการวิจัยเพื่อดูว่า เครือข่ายทางสังคมที่เรามีส่งผลอย่างไรต่อคนเรา โดยสิ่งที่ Granovetter ให้ความสนใจเป็นพิเศษคือกลุ่มคนที่เค้านิยามไว้ว่า Weak Ties หรือ คนที่เราไม่สนิทด้วย
Weak Ties คือคนที่รู้จักเราแต่เพียงผิวเผินและพอรู้คร่าวๆว่าเราเป็นใคร หรือทำงานอะไร ตัวอย่างของคนกลุ่ม Weak Ties เช่น คนที่เราอาจจะทักทายกันแค่ปีละครั้ง อยู่ในแผนกอื่นของบริษัทเดียวกัน เพื่อนร่วมรุ่น หรือ อาจจะเป็นผู้ปกครองของเพื่อนลูก
Granvoetter ค้นพบว่า นอกจากเราจะมีโอกาสได้ไอเดียใหม่ๆจากคนกลุ่ม Weak Ties มากกว่าแล้ว เรายังมีโอกาสได้งานจากคนกลุ่ม Weak Ties มากกว่าด้วย
ในหนังสือ Give and Take ของ Adam Grant ได้พูดถึงผลงานวิจัยของ Granovetter ในด้านการหางาน โดย 17% ของผู้เข้าร่วมงานวิจัยพบว่าตัวเองนั้นได้รับการแนะนำงานของตัวเองจากเพื่อนสนิท ในขณะที่คนกว่า 28% หรือกว่า 1 ใน 4 พบว่างานที่ตัวเองได้นั้น มาจากคำแนะนำของกลุ่ม Weak Ties
แล้วทำไมเพื่อนที่ไม่สนิทถึงเป็นแหล่งหางานที่ดีกว่า? เพื่อนสนิทที่รู้จักเราดีน่าจะหางานที่เหมาะกับเราได้ดีกว่าไม่ใช่หรือ? คำตอบมีอยู่ 4 สาเหตุด้วยกัน
1. คนที่สนิทกัน มักจะมีความสนใจและความเชื่อเหมือนๆกัน
ยิ่งมีความสนิทกันมากเท่าไหร่ เรายิ่งมีมุมมองต่อสิ่งต่างๆเหมือนกัน เช่น หากกลุ่มเพื่อนสนิทคุณคิดว่างานฝั่ง Data “ดูยากเกินไป” คุณก็มักจะมีความเชื่อตามกลุ่มว่ามันยากเกินไป และนั่นอาจจะทำให้มุมมองที่คุณมีต่อตลาดงานแคบลง ในขณะที่ Weak Ties ที่ทำงานด้าน Data อาจจะให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับงานได้ตรงตามความเป็นจริงกว่า
2. คนสนิทกัน รู้จักกัน “ดีเกินไป”
เพราะเพื่อนสนิทรู้จักเราดีเกินไปโดยเฉพาะในด้านความเป็นส่วนตัว ทำให้เพื่อนสนิทเราเอามุมมองอื่นๆนอกจากเรื่องทักษะที่เรามี มาใช้ประกอบการตัดสินใจ เช่น นิสัย ความชอบ ทัศนคติ จนทำให้พวกเค้าไม่กล้าแนะนำงานที่ ”เดาว่า” อาจจะไม่เหมาะกับเราให้ ในขณะที่ Weak Ties จะสามารถพิจารณาด้วยข้อมูลเบื้องต้นของเราที่พวกเค้ามองว่าเหมาะสมไหมแล้วตัดสินใจแนะนำได้เลย
3. กลัวกระทบความสัมพันธ์
เพื่อนที่สนิทกันย่อมต้องใช้เวลาร่วมกันมากกว่าในชีวิตประจำวัน ทำให้บางครั้งเราก็อาจมีความเกรงใจต่อสิ่งที่เรากำลังมองหามากกว่า เช่น เราอาจจะไม่กล้าพูดตรงๆถึงสิ่งที่อยากได้ หรือ ไม่กล้าที่จะขอตำแหน่งงานที่ดูสูงเกินกว่าเพื่อนสนิทเราไปมาก นอกจากนี้ในฝั่งคนแนะนำก็มีความกังวลว่าถ้าแนะนำไปแล้วไม่ได้งานหรือ ทำแล้วไม่ชอบก็อาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในอนาคตได้
ในทางกลับกัน สำหรับเพื่อนไม่สนิทเราสามารถบอกถึงสิ่งที่เรามองหาอย่างตรงไปตรงมา ในขณะที่คนที่แนะนำเราก็สามารถส่งต่อได้โดยไม่กลัวผลกระทบต่อความสัมพันธ์เพราะว่าปกติก็ไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันอยู่แล้ว เหมือนดังคำพูดที่ว่า “Strong ties provide bonds, but weak ties served as bridges.”
4. การที่เราสนิทกับใคร เครือข่ายของเราก็มักจะใกล้เคียงกัน
หากเรามีเพื่อนที่สนิทกัน คนรอบข้างของเรากับเพื่อนสนิทเราก็ย่อมมีความคล้ายคลึงกันมากกว่า เช่น หากเราอยู่ในสายการตลาดและเพื่อนเราก็อยู่ในสายการตลาด คนรอบข้างก็มักจะอยู่ในแวดวงเดียวกันมากกว่า หรืออาจจะลองสังเกตจาก Mutual Friends ของเราก็ได้ ยิ่งเพื่อนสนิทเท่าไหร่ เราก็ยิ่งแชร์กลุ่มคนที่เรารู้จักมากเท่านั้น ทำให้เครือข่ายของเราไม่กว้างขวางเท่าที่ควร หากเราอยากจะเริ่มทำความรู้จักเครือข่ายอื่นๆ นอกเหนือจากสังคมที่เราคุ้นเคย การพึ่งพา Weak Ties ย่อมมีความเหมาะสมกว่า
ปัจจุบันในยุคที่ Social Media นั้นทำให้ทุกคนเชื่อมต่อได้อย่างไร้ขีดจำกัด พลังของ Weak Ties ก็ย่อมมีประสิทธิภาพอย่างไม่เคยมีมาก่อน พวกเค้าสามารถให้ประโยชน์ต่อเราได้อย่างไม่น่าเชื่อในเรื่องของการหางาน
ไม่แน่ งานที่คุณไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้ทำ อาจจะอยู่ถัดไปแค่ 1 Mutual Friend ก็ได้
อ้างอิง