Amy Wrzesniewski อาจารย์แห่ง Yale School of Management ศึกษาวิจัยวิธีสร้างความหมายในการทำงานร่วมกับคนในองค์กรอย่าง IBM, Google และโรงพยาบาลต่าง ๆ โดยกลุ่มคนน่าสนใจที่เธอได้เข้าไปพูดคุยด้วยคือ
แม่บ้านในโรงพยาบาลชั้นผู้ป่วยฟื้นตัวจากอาการโคม่า
งานของ “แม่บ้าน” เหล่านี้มีความหมายแค่ไหน?
คำตอบคือ..ขึ้นอยู่กับว่าเราไปถามใคร
แม่บ้านบางคนมองว่างานทำความสะอาดนั้นแสนน่าเบื่อ
หน้าที่ของเขานั้นเป็นแค่การทำตามสิ่งที่ได้รับมอบหมาย
เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าสนใจคือมีแม่บ้านบางคนมองว่างานที่ทำ
“มีความหมายกับชีวิตอย่างมาก”
เพราะพวกเขาไม่ได้มองเป็นเพียงงานทำความสะอาด แต่เป็นงานที่
“ทำให้ผู้ป่วยสบายใจที่สุด” พวกเขาจัดรูปภาพในห้องให้ดูดี เอาใจใส่เรื่องเล็กน้อย แวะเวียนมาเยี่ยมผู้ป่วยเรื่อย ๆ แม้ไม่ได้รับมอบหมาย
ซึ่งพวกเขาได้ให้คำตอบกับกิจกรรมนี้ว่า “มันอาจไม่ใช่ส่วนหนึ่งของหน้าที่โดยตรง แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน”
สิ่งที่ Amy ค้นพบก็คือเราสามารถแบ่งมุมมองที่มีต่องานที่ทำอยู่ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
ภาพจาก Firza Pratama Unsplash
งาน = ภาระหน้าที่
บุคคลประเภทที่มองว่างานเป็นภาระและความรับผิดชอบที่ต้องทำให้สมบูรณ์ งานไม่จำเป็นต้องสนุก เพราะฉะนั้นถึงจะไม่ชอบอย่างไรก็ควรจะต้องทำให้เสร็จ เพราะรางวัลของการทำงานให้เสร็จ คือค่าตอบแทนที่จะได้ รับ คนเหล่านี้มักจะแบ่งแยกชีวิตส่วนตัวและชีวิตงานออกจากกันอย่างชัดเจน ถ้ามีโอกาสหรือเวลาว่างก็มักที่จะเลือกทำอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับงานตัวเอง และที่สำคัญเป็นกลุ่มที่มีความเป็นไปได้ที่จะมีอาการ “กลัววันจันทร์” (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์นะครับ) คือเริ่มกระวนกระวายหรือมีความเครียดในช่วงเย็นวันอาทิตย์
งาน = บันไดสู่ความสำเร็จ
ถึงแม้ว่างานปัจจุบันจะไม่ใช่งานที่ชอบก็ไม่เป็นไร เพราะตัวเองมีภาพของเส้นทางสู่ความสำเร็จที่ตัวเองวาดไว้ และเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่นี้จะเป็นบันไดไปสู่เส้นทางของสิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็น คนเหล่านี้มีความทุ่มเทให้กับการทำงานและอยากที่จะทำงานเก่ง อย่างไรก็ตามคนกลุ่มนี้ก็ยังมีเส้นที่แบ่งแยกระหว่างชีวิตส่วนตัวและงานของตัวเอง
“ฉันอยากประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เพื่อที่ฉันจะได้มีชีวิตอย่างที่ฉันต้องการ”
งาน = สิ่งที่ใจเรียกร้อง
มองว่างานเป็นสิ่งที่มีความหมายในตัวมันเอง งานที่เค้าทำคือสิ่งที่ทำให้เค้ามีความสุข ทั้งนี้ไม่ใช่หมายถึงมีความสุขตลอดเวลาที่ทำงาน แต่คนที่มุมมีมองนี้เชื่อว่างานที่ตัวเองทำนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น สิ่งที่ได้รับจากการทำงานอาจจะไม่ใช่แค่เงินเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการได้ใช้ศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มที่ รวมถึงรู้สึกว่าชีวิตของตนนั้นมีความหมายและมีเป้าหมาย เส้นแบ่งระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานของคนกลุ่มนี้มักจะคลุมเครือ ซึ่งทำให้พวกเขามีมุมมองนี้มีความพึงพอใจต่องานมากกว่า
ส่งผลให้พวกเค้าทุ่มเทความพยายามทำงานได้ยาวนานมากกว่าสองประเภทแรก
ทั้งนี้การที่คนเราจะมีมุมมองแต่ละแบบ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเภทงานที่ทำ
แต่เป็นเรื่องของมุมมองของแต่ละบุคคลล้วน ๆ นอกจากนี้การทดลองของ
Amy ยังค้นพบอีกว่าคนที่เป็นหมอก็สามารถมีมุมมองแบบ “ภาระหน้าที่” ได้
ในขณะที่แม่บ้านทำความสะอาดโรงพยาบาลก็สามารถหา “สิ่งที่ใจเรียกร้อง” ได้เช่นกัน เมื่อผู้อ่านอ่านมาถึงตรงนี้อาจสรุปได้ว่าไม่ใช่เรื่องของเนื้องาน แต่อยู่ที่มุมมองและความคิดที่เรามีต่อการใช้ชีวิต
คุณอาจเป็นคนประเภท 1 หรือ 2 ก็ไม่เป็นไร เพราะข่าวดีคือเราสามารถปรับมุมมองความเชื่อของเราได้เสมอ
Modular Consulting มีหนึ่งวิธีที่ทุกคนสามารถทำได้ง่าย ๆ เพื่อ “โน้มน้าว”
ตัวเราให้ปรับมุมมองการทำงานของตัวเอง กิจกรรมนี้น่าจะมีประโยชน์ต่อคนกลุ่มที่มองว่างานของตัวเองเป็น “ภาระหน้าที่”
ภาพจาก Kelly Sikkema Unsplash
อุปกรณ์ในกิจกรรมนี้มีแค่กระดาษ 1 แผ่น และดินสอ 1 แท่งเท่านั้น
กิจกรรมนี้เริ่มขึ้นเมื่อคุณลงมือเขียนบรรยายลักษณะงานที่ทำในปัจจุบัน
โดยสร้างสถานการณ์ว่าคุณกำลังอยู่ในระหว่างการรับสมัครงานที่มีอัตราการแข่งขันในตำแหน่งหน้าที่นี้ ผู้ชนะในการคัดเลือกครั้งนี้คือคนที่เขียนคำบรรยายงานออกมาจูงใจให้คนมาแย่งสมัครงานในตำแหน่งนี้มากที่สุด
เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็ให้เวลาตัวเองพักสักครู่ จากนั้นค่อยกลับมาอ่านสิ่งที่ตัวเองพึ่งเขียนอีกครั้ง
พึงระลึกไว้ว่าสิ่งที่คุณกำลังจะอ่านไม่ใช่คำ “โกหก” แต่เป็นคุณค่าของงานที่คุณหลงลืมไป การใช้เวลาเขียนเพื่อสะท้อนคุณค่าของงานที่ทำ โดยเฉพาะจากมุมมองของตัวเองช่วยให้คุณเชื่อมโยงสิ่งที่ตัวเองเชื่อและเนื้องานมากขึ้น
และเมื่อคุณยิ่งสามารถเชื่อมโยงคุณค่าของงานและสิ่งที่ตัวเองให้ความสำคัญ
คุณก็จะมีมุมมองที่มีต่องานเปลี่ยนไป
ดังนั้นหากคุณลองซื่อสัตย์และใช้เวลากับการใคร่ครวญถึงงานที่กำลังทำอยู่จริง ๆ บางทีมุมมองของงานที่อยู่ตรงหน้าเราอาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง