หนังสือ 5 เล่ม ที่ช่วยให้คุณออกแบบชีวิตและเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น
ในช่วงเวลาที่หลายคนอยู่บ้าน ไม่อยากไปเดินห้าง ไม่กล้าไปดูหนัง ไม่รู้จะทำอะไร หนึ่งในกิจกรรมที่ทำได้ง่ายๆ และเปลี่ยนตัวเราให้ดีขึ้น คือการได้อ่านหนังสือดีๆสักเล่มนึง
วันนี้เรามีหนังสือ 5 เล่มมาแนะนำ เพื่อให้วันว่างของคุณไม่น่าเบื่อจนเกินไป และอาจจะมีเวลาได้ทบทวนอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง และวางแผนต่อในช่วงเวลาที่เหลือของปี
—-
หนังสือจากวิชาที่มีนักเรียนต่อคิวเรียนมากที่สุดจากมหาวิทยาลัย Stanford ประเทศอเมริกา หนังสือเกี่ยวกับการออกแบบชีวิต ที่ไม่ได้เหมาะสำหรับนักศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่เหมาะกับทุกคนที่อยากออกแบบชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น…
แล้วอะไรคือการ “ออกแบบชีวิต”ละ? การออกแบบชีวิตคือการนำหลักความคิดออกแบบเชิงนวัตกรรมหรือ Design Thinking มาประยุกต์ใช้กับตัวเอง และผสมผสานกับหลักจิตวิทยาเพื่อให้เราได้ “ออกแบบ” แผนชีวิตที่สามารถลงมือทำได้จริง
ชีวิตของคนก็ไม่ต่างจากการสร้างนวัตกรรมอะไรใหม่ๆ ต้องมีทัศนคติตั้งต้นที่ถูกต้อง โดยให้ความสำคัญกับการกล้าลงมือทำ การกล้าที่จะล้มเหลว แก้ไขและทำต่อเนื่อง เพื่อออกแบบและลงมือทำให้แนวทางการใช้ชีวิตของเราเข้าใกล้กับเป้าหมายที่เราตั้งขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป้าหมายนั้นอาจเป็นได้ทั้งเป้าหมายเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน การเรียน การทำงาน สุขภาพไปจนถึงความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นกับเพื่อน คนใน ครอบครัว หรือกับคนรัก
สิ่งที่หนังสือเล่มนี้ทำได้ดีมากและแตกต่างจากเล่มอื่นๆ ก็คือหนังสือเล่มนี้ ทำให้เรื่องจิตวิทยา “จับต้อง” ได้ มีหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยา หรือการพัฒนาตัวเองในตลาดหลายเล่มที่มีทฤษฎีและเนื้อหาที่น่าสนใจ แต่บางครั้งเราไม่รู้ว่าจะนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเองได้อย่างไร ซึ่งหนังสือเล่มนี้เขียนโดยอาจารย์สองท่านคือ Bill Burnett และ Dave Evans ทั้งคู่มีพื้นฐานเป็นวิศวกร ผู้แต่งทั้งสองจึงนำหลักจิตวิทยาต่างๆมาเรียบเรียงเป็นโมเดลและกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้คนอ่านนั้นสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเองได้เลย เรียกว่าเป็นหนังสือที่อ่านอย่างเดียวก็ได้ประโยชน์ แต่ถ้าทั้งอ่านด้วยทำกิจกรรมในหนังสือไปด้วย ชีวิตและมุมมองที่คุณมีเกี่ยวกับการวางแผนจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
หนังสือเล่มต่อ ของหนังสือ Designing Your Life โดยเล่มนี้จะมุ่งเน้นเรื่องการออกแบบชีวิตการทำงานของตัวเองเป็นหลัก หากคุณเป็นคนๆนึงที่ไม่ชอบงานปัจจุบันของตัวเอง แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดี จะทนอยู่ต่อ ก็คิดว่าคงไม่มีความสุข แต่จะไปที่อื่น ก็ไม่แน่ใจว่าจะดีจริงรึเปล่า หนังสือเล่มนี้เข้าใจคุณดี เพราะตามสถิติที่บ่งชี้ว่า คนกว่า 2 ใน 3 ในโลกก็ไม่ได้ชอบงานของตัวเองเหมือนกัน
หนังสือเล่มนี้จึงถูกเขียนขึ้นเพื่อจะแนะนำพนักงานเงินเดือน (และฟรีแลนซ์) ทั้งหลาย ว่าถ้าไม่เจองานที่ใช่ เราควรจะเริ่มออกแบบหรือลงมือเปลี่ยนแปลงงานของตัวเองอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่หนังสือเล่มนี้ต้องการจะสื่ออย่างชัดเจนก็คือ การลาออก ควรจะเป็นตัวเลือก”ท้ายๆ” ที่คุณควรจะทำ ในหนังสือเล่มนี้คุณจะเรียนรู้เกี่ยวกับ:
– วิธีการปรับมุมมอง เพื่อให้คุณได้เริ่ม “ลองใหม่” กับงานปัจจุบันอีกครั้ง
– คำตอบสำหรับคำถามที่ว่า งานที่ทำแล้วชอบ กับงานที่ทำแล้วได้เงิน จำเป็นต้องสวนทางกันเสมอไปไหม
– วิธีที่จะหลุดจากกับดักความคิดที่ว่า “ฉันเปลี่ยนอะไรใครไม่ได้หรอก เป็นเพราะฉันอยู่ผิดที่เอง”
– งานที่เคยสนุก เริ่มไม่สนุกเพราะมันเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำยังไงดี?
– ออกแบบงานจากภายในองค์กร ให้ตรงกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ หรือทำให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น
– หากต้องลาออกจริงๆ จะลาออกอย่างไรให้ “น่ารัก” และสานสัมพันธ์ที่ดีต่อที่ทำงานเก่าได้
หลังจากเล่มนี้จบ คุณจะมีเครื่องมือในการค้นหาความหมายจากงานที่ใช่ หรือทำให้คุณ “อยู่เป็น”ในองค์กรของคุณ และเปลี่ยนตัวเอง จากที่เคยเป็นคน 2 ใน 3 ที่ไม่ชอบงานตัวเอง เป็นคน 1 ใน 3 ที่อยากจะไปทำงานในทุกๆวัน
สร้างนิสัยที่คุณอยากมี ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด
“อยากจะวิ่งมาราธอนให้ได้ในปีนี้”
“อยากลดน้ำหนักให้ได้ 10 กิโล”
“อยากจะอ่านหนังสือให้ได้เดือนละ 2 เล่ม”
หลายคนเรียนรู้ที่จะตั้งเป้าหมายเหล่านี้ เพื่อเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่ดีกว่าเดิม แต่ในหลายๆครั้งเราพบว่า เป้าหมายนี้มักจะอยู่กับตัวเราแค่ เดือนหรือสองเดือน แต่หลังจากนั้น พอคุณทำเป้าหมายที่ตั้งไว้ไม่สำเร็จ คุณก็จะล้มเลิกแล้วกลับไปเป็นคุณคนเก่า
หากเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้น เราอยากจะบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะหากดูตามสถิติแล้ว กว่า 80% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อตอนปีใหม่ มักจะถูกล้มเลิกไปภายในสามเดือน… เกิดอะไรขึ้น? ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงทำตามเป้าหมายเหล่านี้ไม่สำเร็จ
หนังสือเล่มนี้จะสอนอีกมุมมองนึงของการตั้งเป้า โดยมองว่าเป้าหมายทั้งหมดข้างต้นนั้น เป็นเป้าหมายที่ยากเกินไป หากคุณจะทำเป้าหมายให้สำเร็จนั้น หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพก็คือตั้งเป้าหมายให้ “ง่ายที่สุด” เพราะคุณมีแนวโน้มจะทำให้มันสำเร็จได้ง่าย และมีกำลังใจที่จะทำต่อในระดับที่ยากขึ้น ท้าทายขึ้นจนกลายเป็นนิสัยที่ดีของตัวเองไปที่สุด
เป็นหนังสือสร้างนิสัยที่ถูกออกแบบมาให้อ่านง่าย มีตัวอย่างที่ชัดเจน ทำให้ผู้อ่านสามารถทำตามได้โดยง่าย ไม่แน่ว่าพอคุณอ่านเล่มนี้จบ คุณอาจจะได้ทำสิ่งที่คุณทำไม่สำเร็จมานานได้สำเร็จ โดยไม่ต้องรอให้ถึงปีใหม่อีกรอบก็เป็นได้
ในสัปดาห์ทำงานที่แสนวุ่นวาย คุณวางแผนให้กับตัวเองว่าสุดสัปดาห์นี้ คุณจะอ่านหนังสือดีๆให้ตัวเองสักเล่มหนึ่ง แต่พอถึงสุดสัปดาห์จริงๆ คุณพบว่าตัวเองเสียเวลาไปกับการดู Facebook อ่านข่าวหรือดูรายการทีวีต่างๆที่ไม่ได้มีประโยชน์กับตัวเองสักเท่าไหร่ พอมารู้ตัวอีกทีก็เป็นช่วงวันอาทิตย์เย็นแล้ว… “ไว้อาทิตย์หน้าก็แล้วกัน” คุณบอกกับตัวเอง… แต่เมื่ออาทิตย์หน้ามาถึง หนังชีวิตเรื่องเดิมก็วนกลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง
หนังสือที่เขียนโดยพนักงาน Google ทั้งสองท่าน Jake Knapp และ John Zeratsky มาเรียนรู้วิธีการจัดการเวลาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึง Digital Detox หรือการหยุดตัวเองไม่ให้ “เสพติด” สื่อโซเชี่ยลมากจนเกินไป
หนังสือเล่มนี้ ทั้งเล่มมีเพียงแค่สมการเดียวที่ทำให้คุณสามารถจัดระเบียบตัวเอง เพื่อให้ตัวเองมีเวลาทำสิ่งที่ตัวเองรักได้มากขึ้น แต่เนื่องจากคนเขียนทั้งคู่เป็น “นักออกแบบ” ใน Google ทั้งคู่จึงไม่เชื่อว่ามีแค่วิธีเดียวที่จะเหมาะสมสำหรับทุกคน (One size fits all) แต่เลือกที่จะใส่วิธีต่างๆเพื่อให้ผู้อ่านได้ลองทำกว่า แปดสิบวิธี! (อย่างน้อยน่าจะมีสัก 4-5 อันที่เหมาะกับตัวเรา) นอกจากนี้คนเขียนยังแชร์ประสบการณ์ใช้วิธีต่างๆด้วยตัวเองจริงๆ เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพมากขึ้น
หากคุณ”เสียเวลา”อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเอาไปลงมือทำจริง คุณจะได้”เวลา”ในชีวิตกลับมาจนตัวคุณเองไม่อยากเชื่อเลย
มีคนเคยกล่าวว่า “สิ่งที่ผู้สูงอายุมี มิใช่ร่างกายที่แข็งแรง หรือ ความกระตือรือล้นที่จะเปลี่ยนโลก หากแต่เป็นปัญญาที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์การใช้ชีวิตมาทั้งชีวิต” จะดีไหม หากมีหนังสือสักเล่มนึงที่ให้คุณได้มีโอกาสได้เรียนรู้ “ปัญญา”ของผู้สูงอายุจำนวนกว่า 235 คนในหนังสือเล่มเดียว
หนังสือที่กรั่นกรองมาจากบทสัมภาษณ์ของ “ผู้ผ่านโลกมามาก” (คนสูงอายุที่มีอายุระหว่าง 60 – 105 ปี จากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา) ที่ได้รับการเสนอชื่อกว่า 15,000 คน และคัดจนเหลือเพียง 235 คนที่ผู้เขียน Dr. John Izzo ได้มีโอกาสสัมภาษณ์เชิงลึกและเรียบเรียงเป็นปรัชญา “ห้าข้อ”หลักที่พวกเค้าเหล่านั่นอยากทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง
แน่นอนว่า “ความลับห้าข้อ” ในหนังสือเล่มนี้ อาจจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด หลายๆครั้งคุณอาจจะรู้สึกว่ามัน “เรียบง่าย”ซะด้วยซ้ำ แต่อะไรที่ “เรียบง่าย” ไม่ได้แปลว่าไม่สำคัญ และหากเป็นข้อมูลที่คนกว่า 200 คนเห็นพ้องตรงกัน ก็น่าจะตอกย้ำถึงความสำคัญของ “ความลับ” ว่ามันมีค่าเพียงใด
ลองอ่านหนังสือเล่มนี้และใช้เวลาทบทวนดูว่า เราได้ละเลยสิ่งดีๆเหล่านี้ไปหรือไม่? และเราจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ดูแลสิ่งเหล่านี้อย่างไร เพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตของเราให้คุ้มค่าที่สุด