หลังจากที่เอกพล พนักงานใหม่ไฟแรงใช้เวลาร่วมสองอาทิตย์ไปกับการรวบรวมข้อมูล และการทำพรีเซนเทชั่น เพื่อใช้ในการประชุมผู้บริหารประจำไตรมาส
ระหว่างที่ทำงานนี้เขาคิดว่านี่อาจจะเป็นโอกาสที่ตัวเขาจะได้แสดงความสามารถ และนำเสนอไอเดียใหม่ ๆ ในการทำธุรกิจให้กับบริษัท
แต่ก่อนที่จะได้นำไปใช้ในการประชุม เขาต้องนำเอกสารไปให้หัวหน้าตรวจสอบความเรียบร้อยของพรีเซนเทชั่นเสียก่อน
“เออ เอก พี่ลืมบอกไป ประชุมรอบนี้พี่มีเรื่องอื่นต้องพูด เรื่องที่เอกจะเอาเข้า พี่ขอเลื่อนไปก่อนนะ” หัวหน้าของเอกพลพูดในขณะที่สายตายังมองหน้าจอคอมพ์ของตัวเองอยู่
เอกพลเหลือบตาไปมองเอกสารที่เขาตั้งใจทำมาอย่างดี คาสิโนออนไลน์ ได้เงินจริง และพบว่าพรีเซนเทชั่นที่เอกพลพิมพ์ออกมายังวางอยู่บนโต๊ะ ไม่มีร่องรอยของการถูกพลิกดูแต่อย่างใด
“…ครับ” เอกพลพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง
สำหรับผู้อ่านแล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณลุกขึ้นไปทำงานในทุก ๆ วัน?
แน่นอนว่าหนึ่งในคำตอบที่น่าจะได้รับความนิยมจากหลาย ๆ คนก็คือ
‘ค่าตอบแทน’ หรือ ‘เงิน’ นั่นเอง
ซึ่งนั่นไม่ใช่คำตอบที่ผิดปกติแต่อย่างใด
แต่ถ้าจะบอกว่า ‘ค่าตอบแทน’ ไม่ใช่ทุกอย่างละ?
นักจิตวิทยาและนักเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม Dan Ariely แห่งมหาวิทยาลัย Duke เป็นหนึ่งในนักวิจัยที่ให้ความสนใจในเรื่อง ‘ค่าตอบแทน’ ว่ามีผลอย่างไรต่อ ‘แรงจูงใจ’ และ ‘ประสิทธิภาพการทำงาน’
หนึ่งในงานวิจัยของ Dan คือการให้นักศึกษาต่อตัวต่อเลโก้ Bionicles สำหรับคนที่ไม่รู้จัก ให้นึกภาพประมาณว่าเป็นการต่อเลโก้เป็นไอรอนแมนตัวหนึ่ง ซึ่งใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 10 นาทีต่อการต่อให้เสร็จ 1 ตัว
โดยงานวิจัยนี้จะให้นักศึกษาต่อเลโก้ไปเรื่อย ๆ เมื่อนักศึกษาต่อตัวแรกเสร็จ จะได้รับเงิน 2 เหรียญ และหลังต่อเสร็จนักศึกษาสามารถเลือกได้ว่าอยากจะต่อเลโก้ตัวต่อไปหรือไม่
โดยตัวต่อจะได้ค่าตอบแทนลดลง 11 เซนต์ (เหลือ 1.89 และ 1.78 เหรียญสำหรับตัวที่สองและตัวที่สามตามลำดับ และจะลดลงต่อเนื่องไปเรื่อยๆ) ซึ่งนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการสามารถเลือกที่จะหยุดต่อเลโก้เมื่อไหร่ก็ได้
รูปจาก Matt Hudson on Unsplash
ทั้งนี้ Dan แบ่งกลุ่มนักศึกษาเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มแรกคือกลุ่ม ‘ทำงานอย่างมีความหมาย’
โดยในกลุ่มนี้นักศึกษาจะได้รับตัวต่อเลโก้มาในถาด หลังจากที่ต่อเสร็จแล้วก็ให้วางเลโก้ใส่ถาดและยื่นให้นักวิจัย หากมีความประสงค์ที่จะต่อตัวต่อไป นักวิจัยก็จะนำถาดเดิมที่มีเลโก้ที่ต่อเสร็จไปเก็บที่ใต้โต๊ะ และหยิบชิ้นส่วนที่มีเลโก้ที่ยังไม่ได้ต่อในถาดใหม่ให้นักศึกษา เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกว่านักศึกษาจะหยุดกิจกรรม
กลุ่มที่สองถูก Dan เรียกว่า
กลุ่ม ‘ทำงานอย่างไร้ความหมาย’
ในกลุ่มนี้ นักศึกษาจะได้รับตัวต่อเลโก้มาในถาดเช่นกัน เพียงแต่ในกลุ่มนี้นักวิจัยจะมีถาดเลโก้เพียงสองถาดวางไว้บนโต๊ะ เมื่อนักศึกษาต่อเลโก้ถาดแรกเสร็จและยื่นให้ นักวิจัยจะยื่นถาดที่สองให้ ในขณะเดียวกันก็จะ ‘แกะ’ เลโก้จากถาดแรกที่พึ่งประกอบเสร็จ ‘ต่อหน้า’ นักศึกษา และหากนักศึกษาเลือกที่จะต่อเลโก้ต่อ นักวิจัยก็จะยื่นถาดที่แกะเลโก้เสร็จแล้วให้ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
คุณคิดว่า นักศึกษากลุ่มไหน ต่อเลโก้มากครั้งกว่ากัน?
รูปจาก Christina @ wocintechchat.com on Unsplash
คำตอบคือกลุ่มแรก ซึ่งก็ดูไม่น่าประหลาดใจเท่าไหร่ แต่ซึ่งที่น่าสนใจคือในกลุ่ม ‘ทำงานอย่างมีความหมาย’ มีค่าเฉลี่ยการต่อเลโก้อยู่ที่ 11 ตัว ในขณะที่ในกลุ่มที่สอง ‘ทำงานอย่างไร้ความหมาย’ ค่าเฉลี่ยการต่ออยู่ที่ 7 ตัวเท่านั้น
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ค่าเฉลี่ยของทั้งสองกลุ่มนั้น ต่างกันถึง 40%
ในขณะที่ตัวแปรอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าตอบแทน หรือ ความยากง่ายของงานนั้นคงที่? คำตอบก็คือการที่นักวิจัย ‘แกะ’ หรือ ‘ทำลาย’ ความหมายของงานสำหรับนักศึกษากลุ่มที่สองต่อหน้าพวกเขานั่นเอง
ในการทำงานค่าตอบแทนเป็นสิ่ง ‘พื้นฐาน’ ที่ทำให้คนเราทำงาน แต่สิ่งที่จะเพิ่มแรงจูงใจรวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ‘ความหมาย’ ของงานเองก็เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ ‘ความหมาย’ ของงานที่ทำดูจะมีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการเลือกทำงาน
การทำความเข้าใจ การมอบความหมายงาน และการดูแลความรู้สึกของพนักงานอาจจะไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำได้ก็ดี สำหรับผู้บริหารยุคใหม่ หากแต่จะเป็นเป็นสิ่งที่ต้องทำ เพื่อทำให้องค์กรที่มีคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานด้วยเรื่อย ๆ นั้นเติบโต
แล้วถ้าหากเป็นคุณล่ะ ถ้าคุณเป็นเจ้านายของเอกพล คุณจะเลือกบอกกับเค้าอย่างไร?